859 Light Action

ประมาณ 10 ปีก่อนเป็นช่วงที่เริ่มอินกับการถ่ายรูปด้วยกล้อง DSLR
มีกล้องตัวเล็กๆ ที่ชอบพกไปไหนมาไหนด้วย

ฉันชอบออกไปถ่ายรูปตอนพระอาทิตย์ขึ้นกับตอนพระอาทิตย์ตกมาก
ชอบแสงแบบนั้น

การถ่ายรูปได้เปลี่ยนความคิดและทัศนคติต่ออะไรหลายๆ อย่าง
ทำให้สังเกตสิ่งต่างๆ รอบตัวมากขึ้น ทำให้เห็นคุณค่าของเวลา
ได้ไปนั่งเฝ้ารอพระอาทิตย์เคลื่อนตัวช้าๆ
เพื่อรอจังหวะที่ลงตัว และเก็บภาพในขณะที่ “ใช่” ที่สุด
และเพื่อจะพบว่า ทุกอย่างเกิดขึ้นแค่ชั่วพริบตา

พอหลงรักแสงเช้ากับแสงเย็น
ฉันอยากให้เวลามันหมุนช้าลง อยากนั่งดูแสงแบบนี้ไปเรื่อยๆ

วันไหนไม่ได้ถ่ายรูป ได้นั่งมองเฉยๆ ก็ยังดี

บรรยากาศตอนเช้า ถนนสุเทพ หลังมอชอ
ตอนเย็นที่สวนราชพฤกษ์ (พืชสวนโลก) พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน ถ่ายรูปช้างหินที่พ่นน้ำได้ตลอดเวลา
ปี 4 ตอนเย็นชอบชวนเพื่อนๆ ไปเสพความคลาสสิค .. คือไปนั่งกินข้าว ดูพระอาทิตย์ตกดิน ที่อ่างเก็บน้ำคณะอก. แม่เหียะ
พระอาทิตย์ขึ้น ถ่ายจากระเบียง
โต้รุ่งกับเพื่อนผมไหมครับ

พอเรียนปี 4 งานมันก็เริ่มเยอะขึ้น เวลาออกไปถ่ายรูปก็น้อยลง (เวลานอนก็แทบจะไม่มี)
หลายครั้งที่ได้แค่เฝ้ามองพระอาทิตย์ขึ้นและลงจากในห้องทำงาน
และรู้สึก “เสียดายเวลา” ที่กำลังผ่านไป
รู้สึกเหมือนเวลาของเรากำลังจะหมดลงไปเรื่อยๆ ในแต่ละวัน
รู้สึก​ “กลัว” ว่าวันหนึ่งเราจะไม่ได้เห็นแสงสวยๆ แบบนี้อีก

แต่ตอนนั้นก็ต้องใช้ชีวิตต่อไป
พอทำอย่างอื่นจนไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องถ่ายรูปมากนัก
ความรู้สึกเสียดายเวลา รู้สึกกลัวเวลาจะหมดลง มันก็ถูกลืมไปเอง

ผ่านไป 10 ปี พระอาทิตย์ก็ยังขึ้นและตกเหมือนเดิม เวลาเดิม


ปั่นจักรยานวันอาทิตย์

6 สัปดาห์ก่อน ฉันออกไปปั่นจักรยานขึ้นดอยตามปกติ
วันถัดมาฉันเริ่มมีอาการปวดเข่า ตรงกระดูกสะบ้า ตรงที่ต่อกับหน้าขา
ไม่เคยปวดตรงนี้มาก่อน จะปวดเฉพาะตอนที่เข่างอหรือยืดเกือบสุด
นั่งเฉยๆ จะไม่ปวด กดดูก็ไม่เจ็บ
ก็คิดว่าคงปวดเป็นปกติ
ที่วันนึง หรือสองวันมันก็จะหายไปเอง

แต่คราวนี้มันไม่หาย
ซื้อยาแก้ปวดอักเสบ (Diclofenac) มากินเอง อาทิตย์นึงยังไม่หาย ก็เลยไปหาหมอ

หมอบอกว่าน่าจะเป็นกล้ามเนื้อบริเวณเหนือเข่าที่อักเสบ
เป็นเรื่องปกติกับคนที่ออกกำลังกาย
อาจจะใช้งานหนักไป หรือตำแหน่งที่นั่งบนจักยานที่ไม่พอดี
หมอให้ยามาทานชุดใหญ่ไฟกระพริบ
และให้งดปั่นจักรยานสักพักก่อน

คงจริงอย่างที่หมอบอก ก่อนที่จะออกไปปั่นครั้งนั้น
ฉันลองเลื่อนเบาะจักรยานจากตำแหน่งเดิมไปนิดหน่อย
หลังปั่นก็ไม่ได้ยืดกล้ามเนื้อจริงๆ จังๆ รีบไปอาบน้ำเพราะร้อนและเหนื่อย
เพราะฉะนั้นการเจ็บครั้งนี้จึงโทษใครไม่ได้ นอกจากตัวเอง
(การยืดกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกายสำคัญมาก!)

2 สัปดาห์ก่อน เกือบจะหายแล้ว ก็เลยไปปั่นจักรยานเบาๆ ใกล้บ้าน
แต่ก็กลับมาเจ็บอีก เริ่มใหม่อีกครั้ง

เมื่อไหร่มึงจะหายวะแอ๋ม – ปลาทูแมวไม่ได้กล่าวไว้

เดือนที่แล้วอากาศไม่ร้อนมาก
ฝนไม่ค่อยตก เวลากลางวันยาวกว่ากลางคืน มืดช้าลง
งานก็ไม่ค่อยยุ่ง เป็นช่วงที่เหมาะกับการปั่นจักรยาน

แต่ก็ออกไปปั่นไม่ได้เพราะยังเจ็บอยู่
ปั่นเบาๆ ไปซื้อขนม หรือซ้อมปั่นกับ indoor trainer ในบ้านก็ยังไม่ได้

ปกติถ้าฉันปั่นไม่ได้ ขอให้ได้ไปวิ่งก็ยังดี
แต่คราวนี้ไม่กล้าวิ่ง เพราะการวิ่งก็ต้องใช้เข่า กลัวจะเจ็บเข่ามากกว่าเดิม
เลยไม่ได้ออกกำลังกายเลย

ตอนแรกก็แค่รู้สึกอึดอัด รู้สึกเบื่อๆ
แต่พอมันวนลูปอยู่ทุกวันๆ เป็นอาทิตย์ สองอาทิตย์
มันก็เกิดความรู้สึก “เสียดายเวลา” อีกแล้ว

เสียดายเวลาตอนเช้าและตอนเย็นของแต่ละวัน ที่ไม่ได้ปั่นจักรยาน
เสียดายอากาศดีๆ ที่เพิ่งได้กลับมาจากฤดูฝุ่นควัน
เสียดายนั่นเสียดายนี่
เสียดายเวลาที่ไม่ได้ใช้ไปกับการออกกำลังกาย ทำให้ร่างกายอ่อนแอลง
(ซึ่งอาจจะคิดไปเอง)

ฉันว่าการไม่ได้ออกกำลังกาย ทำให้จิตใจฟุ้งซ่าน (เพ้อเจ้อ) ได้จริง

การปั่นจักรยาน นอกจากเป็นการออกกำลังกายแล้ว
ฉันยังมองว่ามันเป็น safe zone ของตัวเองด้วย

เป็นการพาตัวเองออกไปจากที่เดิมๆ
แต่ก็เป็นที่ที่รู้สึกปลอดภัย
เป็นช่วงเวลาที่ได้อยู่กับตัวเองจริงๆ
ได้คุยกับตัวเอง ทบทวน
เอาความเครียด ความเหนื่อยในแต่ละวันออกไปทิ้ง และก็ได้พลังกลับมาด้วย
(แลกกับความเหนื่อยกว่า จากการปั่น!)
จักรยานมันทำให้เรารู้สึกเป็นอิสระจากอะไรหลายๆ อย่าง

พอเจ็บแล้วต้องพักยาวแบบนี้
มันเหมือนถูกใครมาเอา safe zone ของฉันไป
รู้สึกว่าอะไรที่สำคัญหายไปจากชีวิตแต่ละวัน
แรกๆ มันก็มีดาวน์ๆ บ้าง

รู้สึกเห็นใจคนที่บ้าชอบออกกำลังกายมากกว่าฉัน
หรือเป็นนักกีฬา แล้วเจ็บจนต้องพักเป็นเดือน เป็นปี
คงมีผลกับสภาพจิตใจมากอยู่


แต่!
ก็ใช่ว่าจะมีแต่ข้อเสียอย่างเดียว
ช่วงเวลาที่ต้องหยุดพักปั่น ก็จะได้อย่างอื่นกลับมาแทน

อย่างแรก การเจ็บเข่าทำให้ต้องงดดื่ม
ก่อนหน้านี้คือฉันดื่มเบียร์ “เกือบทุกวัน” วันละป๋องสองป๋องก็ว่ากันไป
ไม่รู้เกี่ยวกันโดยตรงไหม แต่วันแรกๆ ที่เจ็บ ก็ยังมีจิบเบียร์อยู่
ตอนเช้ารู้สึกว่ามันปวดกว่าเดิม ก็เลยงดไปเลย (มีหลุด 1 วัน)

การไม่ได้จิบเบียร์ก็ส่งผลกระทบด้านดีอีกหลายๆ อย่าง
ประหยัดเงินขึ้น ไม่ต้องจ่ายค่าเบียร์
แต่ไปเสียกับค่ายาแทน ฮาาา (ฮือ.. ยาแพงนะ)
ได้นอนเยอะขึ้น ตื่นง่ายขึ้น มีเวลาทำอย่างอื่นมากขึ้น (ทำกับข้าวไรงี้)
ลดปริมาณขยะจากกระป๋องและขวดเบียร์ได้ด้วย

อย่างแรกจุดห้า (แถม) พอไม่ได้ปั่น ก็ไม่มีเรื่องให้อัพเกรดรถถีบ
ไม่ได้เสียเงินให้กับอุปกรณ์จักรยานเลย

อย่างที่สอง ได้อ่านหนังสือมากขึ้น
เดือนที่แล้วอ่านหนังสือจบตั้ง 10 เล่ม เยอะกว่าทุกเดือนที่ผ่านมา
ส่วนมากเป็นหนังสือลดราคาที่นีโม่ซื้อมา จากงานหนังสือ
ได้อ่านหนังสือหลายๆ แนว เจอหนังสือดีๆ อีกหลายเล่ม
นอกจากได้ความรู้แล้ว ก็ได้ฝึกสมาธิด้วยนะ

อย่างที่สาม สำคัญที่สุด คือได้ฝึกจิต ฝึกสังเกตตัวเอง ฝึกความอดทน ฝึกเฝ้ารอ
ในวันที่ชีวิตมันอาจจะไม่ได้เป็นไปตามที่ต้องการเสียทุกเรื่อง
หรือวันที่หลายๆ อย่างมันเปลี่ยนไปจากที่มันเคยเป็น
ก็ได้เฝ้ามองจิตใจตัวเอง ว่าจะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงยังไง


ความรู้สึก​เสียดายเวลา อาจเป็นเพราะเรานึกไปเองว่า
เราเคยมีเวลา เคยได้ทำนั่นทำนี่
เวลาเป็นที่ของเรา มันหายไป

แต่ถ้าเราไม่ได้เป็นเจ้าของเวลา อย่างที่เราคิดว่าเราเป็นล่ะ

ถึงแม้เวลาเป็นสิ่งมีค่า แต่ถ้าไม่ยึดติด
ไม่มองว่าเราเป็นเจ้าของ
ก็อาจไม่รู้สึกเสียดายมัน

เวลามันไม่ได้หายไปไหน มันก็ยังอยู่ของมันเหมือนเดิม
ชีวิตเราก็เดินไปเหมือนเดิม
ชีวิตอื่นก็ยังเดินไปเหมือนเดิม
พระอาทิตย์ก็ยังขึ้นและตกเหมือนเมื่อ 10 ปีที่แล้วอย่างเดิม

เมื่อเสียเวลาจากสิ่งหนึ่งไป ก็ได้เวลากับสิ่งอื่นกลับมาแทน
เวลาไม่ได้จากเราไปไหนเลย
เราอาจแค่ต้องปรับตัวปรับใจไปกับมัน

รูปจากไปเที่ยวเกาะหมาก ปี 2014

สิ่งที่พูดกับตัวเองบ่อยๆ ในช่วงปีสองปีที่ผ่านมา คือคำว่า “ไม่เป็นไร”
ไม่ได้พูดเพื่อปลอบใจ หรือให้กำลังใจตัวเอง
แต่เพราะมันก็ไม่เป็นไรจริงๆ
พูดเพื่อสะท้อนความจริงให้ตัวเอง

ไม่ได้ปั่นวันนี้ ก็ไม่เป็นไร
ไม่ได้ออกกำลังกายวันนี้ ไม่เป็นไร
ช่วงนี้ความฟิตจะน้อยลงหน่อย ไม่เป็นไร
ไม่ได้จิบเบียร์เฮฮากับเพื่อน ก็ไม่เป็นไร (ดี!)
ไม่ได้ออกไปดูแสงเช้า แสงเย็น ก็ไม่เป็นไร
เพราะมันไม่เป็นไรจริงๆ


ยังเชื่อว่าไอ้การเจ็บเข่าของฉันเนี่ย ไม่มีอะไรร้ายแรง
นอกจากกินยาแล้ว หมอก็ให้ยืดกล้ามเนื้อ บริหารเบาๆ ด้วย
และบอกว่าต้องใช้เวลาหน่อย แค่นี้ยังจิ๊บๆ

ไว้หายดีแล้วค่อยไปลุย
safe zone ของเรามันไม่หายไปไหนหรอก
มันก็จอดอยู่ในบ้านนี่แหละ

ถึงจะเจ็บร่างกายที่เข่า
แต่อย่างน้อยได้ฝึกจิตใจให้รับกับความเปลี่ยนแปลง
(สัด จะจบแบบหล่อๆ เลยเหรอ)

และก็ได้เรียนรู้
ว่าการยืดกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกาย
มันสำคัญมากจริงๆ

2 replies to “859 Light Action

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Twitter picture

You are commenting using your Twitter account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s

%d bloggers like this:
close-alt close collapse comment ellipsis expand gallery heart lock menu next pinned previous reply search share star