ช่วงนี้เป็นเวลาที่ครบ 1 ปีแล้ว ที่เริ่มปั่นจักรยานเสือหมอบ พอมองย้อนไปถึงวันที่ไปซื้อรถเสือหมอบ Merida กับพี่ติ่ง จุดประสงค์หลักแค่เพื่อเป็นพาหนะสำหรับปั่นไปทำงาน เทียบกับวันนี้แล้ว แทบจะต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ได้ปั่นจักรยานไปทำงานเลย ปั่นออกกำลังกายอย่างเดียว
แต่ถึงจะปั่นมาปีนึงแล้ว ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นมือใหม่อยู่เสมอ ฉันชอบปั่นคนเดียว ไม่มีกลุ่ม ไม่มีแกงค์อะไรทั้งนั่น (ดีหน่อยก็ทีมกับนีโม่ สมาชิกทริปทั้งหมด 2 คน) การปั่นคนเดียวนั้นอาจจะดูน่าเบื่อไปสักนิด แต่ก็เป็นการฝึกสมาธิ ฝึกความอดทนที่ดีเลยทีเดียว
จะว่าไปแล้ว ที่ปั่นจักรยานนี่ก็เพื่อตัวเองทั้งนั้น .. ส่วนเรื่องพัฒนาการ ดีขึ้น แต่ก็ไม่ถึงกับก้าวกระโดด ก็ปั่นช้ากว่าชาวบ้านเหมือนเดิม เรียกว่านักปั่นสายชมนกชมไม้ ชมธรรมชาติก็ว่าได้
ส่วนด้านร่างกาย ตามหลักอาจจะต้องรู้สึกว่า แข็งแรงขึ้นยังกะม้า! หรือไม่ก็ ตอนนี้ฟิตชิบหาย หลายคนออกกำลังกายจริงจัง แล้วมีพัฒนาการดีมาก เพราะซ้อมดี ซ้อมเป็น .. ส่วนฉันไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนั้นเลย รู้สึกแค่ว่าแข็งแรงขึ้นนิดเดียว แต่นิดเดียวก็ยังดี

สิ่งสำคัญอีกอย่าง ที่ได้เรียนรู้กับการปั่นจักรยานคือ
การปั่นจักรยานเป็นกีฬาที่แพงมาก
ฉันใช้จักรยานราคากลางๆ อุปกรณ์เสริมก็ระดับกลางๆ ก็ยังหมดไปเกือบแสนแล้ว .. เกิดมาไม่เคยซื้อรองเท้าคู่ละ 4 พันบาท เพราะรู้สึกว่ารองเท้า 4 พันบาทแม่งโคตรแพง พอมาเป็นโลกจักรยาน รองเท้า 4 พันที่ได้มา คือได้รองเท้าระดับ “เริ่มต้น” คู่นึง
หมวกกันน็อค .. มึตั้งแต่ใบละไม่กี่ร้อย ไปจนถึงหลักหมื่น .. หมวกกันน็อคจักรยานเหี้ยไรใบละหมื่น (คิดในใจ) ดันขายดีด้วยนะหมวกใบละหมื่นเนี่ย (ฉันไม่ได้ใช้หมวกรุ่นนี้)
พอละ บ่นเยอะเดี๋ยวเข้าตัว ..
ฉันชอบเล่นมุกตลกร้ายกับใครก็ตามที่ขอคำแนะนำเวลาจะซื้อจักรยาน คือให้เตรียมตังค์เผื่อไว้อีก 1 หมื่นบาท เพื่ออุปกรณ์ “เฉพาะที่จำเป็น” สำหรับการปั่นจักรยาน
แค่ของที่จำเป็น เผลอๆ หมื่นนึงอาจจะไม่พอ .. แพงชิบ
แต่ยังไง ทุกวันนี้ก็มีความสุขกับการปั่นจักรยานดี และไม่รู้สึกเสียดายเลยที่จ่ายเงินไปเกือบแสน (เพราะมันไม่ได้จ่ายรวดเดียวเยอะขนาดนั้น) สิ่งที่ได้กลับมาคือการได้กลับมาออกกำลังกายเป็นประจำอีกครั้ง การได้ตั้งเป้าหมาย การได้ทำตามเป้าหมาย อะไรต่างๆ แบบนี้แหละที่มันผุดขึ้นมาระหว่างการเดินทาง มันทำให้มีไฟเดินต่อไปได้ .. โอ้โหนี่กูกะจะจบแบบหล่อๆ เลยว่างั้น ..







